ชิปปิ้ง การขนส่งทางรถบรรทุกในปัจจุบัน ได้รับความนิยมไม่แพ้กับการขนส่งทางเรือ ข้อดีคือช่วยย่นระยะเวลาการขนส่งได้อย่างรวดเร็วเพียงไม่กี่วัน
ปัจจุบัน การขนส่งทางรถบรรทุกมี 2 รูปแบบที่คุณต้องรู้ คือ LTL กับ FTL โดย LTL คือการขนส่งแบบไม่เต็มคันรถ ส่วน FTL เป็นการขนส่งแบบเต็มคันรถ และต่อไปนี้คือความแตกต่างของการขนส่งทั้ง 2 รูปแบบนี้
รู้จักกับ FTL และ LTL
LTL ย่อมาจาก Less than Truckload ส่วน FTL ย่อมาจาก Full Truckload Freight โดย LTL เป็นการขนส่งสินค้าของลูกค้าหลายๆ คน รวมกันอยู่ในตู้รถคันเดียว เหมาะสำหรับการขนส่งสินค้าได้ไม่เกิน 12 พาเลท หรือจัดเรียงแถวพาเลท แถวละ 6 พาเลท (รวมทั้งหมด 12 พาเลท) ในกรณีที่มากกว่าแถวละ 6 พาเลท LTL อาจรองรับได้อีกเล็กน้อย ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับสภาพของรถบรรทุกแต่ละคัน
เมื่อไหร่ ควรใช้ FTL และ LTL
การขนส่งสินค้าจากจีนหรือชิปปิ้งจีนมาไทยนั้น ไม่ได้มีกฎตายตัวว่าเมื่อไหร่ควรใช้ LTL หรือ FTL แต่ก็มีบางสถานการณ์ที่การบรรทุกขนถ่ายเต็มตู้อาจเหมาะสมกว่า เช่น หากคุณต้องการจัดส่งสินค้ามากกว่า 12 พาเลทในคราวเดียว FTL อาจเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด และหากสินค้าที่ขนส่งนั้นเปราะบางและมีความเสี่ยงสูงเมื่อต้องบรรทุกรวมกับผู้ใช้บริการหลายรายภายในตู้เดียวกัน การขนส่งแบบ FTL ดูจะเหมาะสมมากกว่า เนื่องจากเป็นการเหมาตู้เดียวเพื่อขนส่งสินค้าของคุณเท่านั้น และเป็นการขนส่งจากจุดรับสินค้าและจุดส่งปลายทางทีเดียว จึงมั่นใจได้ว่าสินค้าจะมีความปลอดภัยมากกว่า
อย่างไรก็ตาม การขนส่งแบบ LTL จะช่วยประหยัดเงินได้มากกว่าหรือจ่ายเฉพาะค่าสินค้าที่ขนส่งเท่านั้น เนื่องจาก LTL เป็นการรวมสินค้าจากผู้ขนส่งรายอื่นๆ ด้วย จึงต้องมั่นใจด้วยว่าสินค้าของคุณมีการหีบห่อที่หนาแน่นพอเมื่อต้องขนส่งร่วมกับสินค้าของผู้ใช้บริการรายอื่น อย่างไรก็ตาม การขนส่งแบบ LTL นั้น เหมาะกับสินค้าที่รอได้ เนื่องจากต้องใช้ระยะเวลาในการขนส่งยาวนานกว่า FTL ที่ไม่มีการขนถ่ายสินค้าไว้ ณ คลังสินค้า
ความแตกต่างระหว่าง FTL กับ LTL สำหรับชิปปิ้งจีน
ข้อแรกที่ชัดเจนที่สุดคือ ค่าใช้จ่าย โดย LTL จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่าในกรณีที่คุณต้องขนส่งด้วยพาเลทเพียง 2-3 พาเลท มันจะช่วยประหยัดมากกว่าการเหมาตู้แบบ FTL ซึ่งต้องจ่ายแบบเต็มคันรถ
นอกจากนี้ ในแง่ของเวลาการส่งมอบ FTL สามารถส่งมอบสินค้าได้ตามเวลานัดหมายที่แน่นอนมากกว่า แต่สำหรับ LTL คุณอาจต้องเผื่อเวลาไว้ เพราะตามปกติแล้ว LTL มีการรับส่งสินค้าหลายที่ ทำให้ไม่สามารถรับประกันเวลาส่งมอบที่แน่นอนได้
นอกจากนี้ การขนส่งแบบ FTL จะทำการโหลดสินค้า ณ ต้นทางเพื่อปิดผนึกและไปส่งยังปลายทางทีเดียว แต่สำหรับ LTL นั้น สินค้าของคุณจะถูกโหลดขึ้นบนรถบรรทุก ยกลง ณ คลังสินค้า ไม่ใช่แค่ครั้งเดียวเท่านั้น แต่อาจจะหลายๆ ครั้งจนกว่าจะถึงปลายทาง ดังนั้น การขนส่งแบบ LTL จึงอาจมีจำนวนสินค้าจากผู้ใช้บริการรายอื่นที่เพิ่มขึ้นมาภายในตู้รถ ทำให้สินค้าของคุณเสี่ยงกับความเสียหายได้ง่ายกว่า
อย่างไรก็ตาม การเลือกประเภทของการขนส่งนั้น ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งลักษณะของสินค้า ปริมาณ ขนาด น้ำหนัก และระยะเวลาในการขนส่ง (อ่านเพิ่มเติมได้ที่ 6 ข้อควรรู้ก่อนเลือกประเภทการขนส่ง) การเลือกรูปแบบการขนส่งที่เหมาะสม จะช่วยให้ผู้ประกอบการประหยัดต้นทุนการนำเข้า และระยะเวลาการขนส่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ คลิกอ่านต่อ เคล็ด(ไม่)ลับ ประหยัดค่าใช้จ่ายในการนำเข้าจากจีน